ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี ทั้งในแง่การใช้เทคโนโลยีที่นำสมัย การสื่อสารที่รวดเร็ว รวมไปถึงการตื่นตัวของทั้งผู้นำประเทศและคนในประเทศ จนนำไปสู่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อยกระดับการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า National e-Payment ถือเป็นหนึ่งในโครงการหลักที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันให้สำเร็จ เพื่อนำมาสู่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และเป็นการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกรรมทางการเงินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม e-Tax invoice and e-Receipt ถือเป็นหนึ่งในโครงการ National e-Payment ที่สำคัญ มีประโยชน์กับประชาชนโดยมาก นอกจากนี้ในโครงการ National e-Payment ยังมีโครงการที่ดำเนินคู่ขนานกันไปในเวลาเดียวกันดังนี้
- ระบบรับและโอนเงินพร้อมเพย์
- การขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice, e-Receipt)
- โครงการ e-Payment ภาครัฐ
ใครสนใจเรื่อง National e-Payment อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.epayment.go.th/home/app/
E-TAX INVOICE AND E-RECEIPT
ทีนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่อง e-tax invoice ถ้าเราจะแปลเป็นภาษาไทยก็คือ “ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์” ใบกำกับภาษีเองเดิมทีเป็นกระดาษใช้กันต่อเนื่องมายาวนาน ใช้เพื่อแสดงรายละเอียดมูลค่าสินค้าหรือบริการ และจำนวนภาษีที่เกิดจากการทำธุรกรรมครั้งนั้น ซึ่งเอกสารนี้ผู้ออกจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร เมื่อใช้ใบกำกับภาษีเป็นกระดาษมานาน รวมทั้งเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้พัฒนามาไกลมาก ทำให้คนเราเริ่มเห็นจุดที่สามารถพัฒนา เปลี่ยนเอกสารที่เป็นกระดาษให้กลายมาอยู่ในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ เพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนการดำเนินการ ลดการใช้กระดาษ ส่งผลในแง่ดีกับการอนุรักษ์ธรรมชาติด้วย
ก่อนจะไปดูรายละเอียดว่าจะทำ e-tax invoice อย่างไร เรามาดูกันก่อนว่าทำแล้วเราจะได้อะไร
- ในแง่ของการลดค่าใช้จ่ายในการสร้างใบกำกับภาษี เมื่อเราเปลี่ยนจากกระดาษเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว แน่นอนเราไม่ต้องใช้กระดาษ แต่เราก็ไม่ได้ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระดาษเพียงอย่างเดียว โดยรวมแล้วเราลดค่าใช้จ่ายอะไรได้ ดังนี้
- กระดาษ บางบริษัทใช้แบบ copy เป็นชุด ที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ Dot Matrix ต่อ 1 invoice ก็ 3-7 บาทแล้วแต่ปริมาณสำเนาที่ต้องใช้ บางบริษัทพิมพ์ใส่ A4 ราคาริมละประมาณ 80 บาท พิมพ์ 5 สำเนา เท่ากับ 1 invoice เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1 บาท (80 / 500 * 6 = 0.96)
- ซองใส่เอกสาร บางครั้งจะต้องติดแสตมป์เพื่อส่งไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ
- เครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์ รวมถึงค่าดูแลเครื่องพิมพ์
- ค่าไฟในการพิมพ์เอกสาร
- ค่าส่งเอกสาร หากเทียบจากราคา Outsource Messenger หลายๆ บริษัทในกรุงเทพ ราคาเริ่มต้นจะเฉลี่ยอยู่ที่ 90 บาทแล้วบวกเพิ่มตามระยะทางที่ไกลออกไป หรือเราจะจ้างพนักงานส่งเอกสารประจำบริษัท ก็จะมีค่าใช้จ่ายเรื่อง เงินเดือน สวัสดิการ ประกันอุบัติเหตุ ค่ารถมอเตอร์ไซค์ ค่าน้ำมัน รวมแล้วไม่ใช่น้อยเลย
- ในกรณีที่เอกสารที่ส่งไปผิด หรือหยิบเอกสารไปไม่ครบ ค่าใช้จ่ายในการส่งก็เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเสียเวลาของพนักงานในการแก้ไขเอกสาร และโทรศัพท์คุยกับลูกค้า ทั้งหมดนี้ถ้าบริหารจัดการไม่ดี ทำให้ต้นทุนต่อใบกำกับภาษี 1 ใบมูลค่าสูงมาก
- แล้วยังมีเรื่องการรวบรวมเอกสารเพื่อทำรายงานภาษีขายอีก ต้องใช้พนักงานงานบัญชีในการทำ ระยะเวลาการทำก็ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัทและปริมาณรายการขายที่เกิดขึ้น
พอนั่งคิดรายละเอียดดีๆ แล้ว การขายสินค้า 1 ครั้งเรามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกิดขึ้น และเราสามารถลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้แค่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้
- ในแง่ของลดพื้นที่จัดเก็บเอกสาร
- ในกรณีที่เราเก็บเอกสารในพื้นที่ของกิจการ เราสามารถนำพื้นที่ที่ต้องเสียไปกับการจัดวางเอกสาร นำไปเพิ่มพื้นที่ให้บุคลากร เพื่อเพิ่มผลผลิตและศักยภาพในการทำเนินธุรกิจได้
- ในกรณีที่เราเก็บเอกสารไว้ที่ผู้ให้บริการจัดเก็บเอกสาร เราสามารถลดค่าใช้จ่ายได้หลายอย่าง
- พื้นที่เก็บ
- ค่ากล่องเก็บเอกสาร
- ค่าดำเนินการมารับเอกสารไปเก็บ
- ค่าดำเนินการในการค้นหาเอกสารและนำมาส่ง เพราะบางกรณีเราจะเป็นจะต้องนำเอกสารมาให้ Auditor หรือเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรใช้สำหรับตรวจสอบ นอกจากจะเสียเงินในการดำเนินการแล้ว ยังเสียเวลาพอควรในการดำเนินการ
- ในแง่ของการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- เราลดการตัดต้นยูคาลิปตัสขนาด 50 กิโลกรัม ได้ 1 ต้น ถ้าเราลดการใช้งานกระดาษ A4 3,300 แผ่น
- เราจะเหลือพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้ในบ้าน 1 หลังเป็นเวลา 1 เดือน ถ้าเราลดการพิมพ์เอกสาร A4 12,000 แผ่น
- เราจะลดมลพิษทางอากาศได้ 1 ปอนด์ หากเราลดการพิมพ์เอกสาร A4 3,000 แผ่น
- เราะจะประหยัดน้ำมันอีกมากมาย ถ้าหาเราไม่ต้องส่งเอกสารให้ลูกค้าด้วยมอเตอร์ไซค์
- ในแง่การดำเนินธุรกิจ ถ้าเริ่มเป็นผู้ประกอบการที่ออก e-tax invoice แล้ว เราจะต่อยอดไปออกเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ได้อีก เช่น PO, Invoice และอาจจะรวมไปถึงเอกสารสัญญา ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างรวดเร็วและแน่นอนขึ้น สร้างโอกาสและรายได้ตามมา ทำให้การบริหารเงินสดในมือเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพค
การเปลี่ยนเอกสารเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงใช้ส่งถึงกันระหว่างคู่ค้ามีผลถูกต้องตามกฎหมาย เริ่มใช้งานอยู่ในหลายประเทศ ไม่เพียงส่งเฉพาะใบกำกับภาษี แต่ส่ง PO และ Invoice ด้วย ผู้นำการใช้งานจะเป็นประเทศทางฝั่งอเมริกา ทั้งอเมริกาเหนือและละตินอเมริกา รวมไปถึงฝั่งยุโรปก็มีหลายประเทศที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้ง Norway, Sweden และ Finland ในประเทศฝั่งเอเชียเองหลายประเทศเริ่มตื่นตัวและใช้งานอย่างจริงจัง เกาหลี คาซัคสถาน เวียดนาม และมาเลเซีย ก้าวนำไปแล้ว ปี 2018 นี้สิงคโปรได้จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบ e-invoice ทั่วประเทศ ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะเริ่มพัฒนาอย่างจริงจัง โดยการสนับสนุนของภาครัฐ และความตื่นตัวของภาคเอกชน เพื่อนำประเทศไทยไปยัง Thailand 4.0 อย่างสง่างาม