You are currently viewing รู้จักใบทะเบียนพาณิชย์ และ การจดทะเบียนพาณิชย์

รู้จักใบทะเบียนพาณิชย์ และ การจดทะเบียนพาณิชย์

  • Post author:
  • Post category:e-tax invoice

    ใบทะเบียนพาณิชย์ ที่ใครหลายๆ คนมักเข้าใจผิด ว่าการจดทะเบียนภาษีคือ การเข้าสู่ระบบภาษีแล้ว และได้เสียภาษีแล้ว การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่ใช่การเสียภาษี แต่เป็น การจดแจ้งต่อกรมธุรกิจการค้า เพื่อแสดงว่าธุรกิจของคุณมีตัวตนจริง เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ ส่วนการเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ต่อให้ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดยังไงก็ต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี

    ผู้จดทะเบียนพาณิชย์ในนามบุคคลธรรมดา มีภาระหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งในหนึ่งปี ต้องยื่นภาษี 2 ครั้ง คือแบบ ภ.ง.ด. 94 ภาษีครึ่งปี, แบบ ภ.ง.ด.90 ภาษีทั้งปี โดยลักษณะของการหักต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายมีให้เลือกแบบหักค่าใช้จ่ายจริงต้องมีเอกสาร หลักฐาน หรือจะหักแบบเหมาจ่ายตามอัตรา ร้อยละที่กฎหมายกําหนด ซึ่งก็ควรดูตามความเหมาะสมของประเภทธุรกิจว่าแบบใดจะเสียภาษีน้อยกว่า ส่วนจะเสียภาษีมากน้อยหรือไม่ เสียภาษีขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนของแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ หากรายได้จากการขาย/บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนเป็น ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย

right-arrow

"ผู้ที่มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์" ได้แก่

  1. บุคคลธรรมดาคนเดียว (กิจการเจ้าของคนเดียว)
  2. ห้างหุ้นส่วนสามัญ
  3. นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ที่มาตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทย
  4. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด
  5. บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด

    กรณีที่ผู้ประกอบพาณิชยกิจเป็นคนต่างด้าวหรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่มา ตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทย จะต้องตรวจสอบดูด้วยว่ากิจการค้าที่ดำเนินการนั้นต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือไม่ หากเป็นกิจการค้าที่ต้องได้รับอนุญาต จะต้องได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการค้าก่อนยื่นจดทะเบียนพาณิชย์

    จะเห็นได้ว่าต่อให้เป็นกิจการเจ้าของคนเดียวก็มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์ แต่ต้องประกอบกิจการค้า ซึ่งเป็นพาณิชยกิจตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องให้ ผู้ประกอบการพาณิชยกิจต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2553 ดังนี้

  1. โรงสีข้าวและโรงเลื่อยที่ใช้เครื่องจักร
  2. ขายสินค้าซึ่งในวันหนึ่งขายได้เป็นเงิน ตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป หรือมีสินค้าดังกล่าวไว้ เพื่อขายมีค่ารวมทั้งสิ้นเป็นเงินตั้งแต่ 500 บาท ขึ้นไป
  3. นายหน้าหรือตัวแทนค้า ซึ่งทำการเกี่ยวกับสินค้าและสินค้านั้นมีค่ารวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งวันใดเป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป
  4. หัตถกรรมหรืออุตสาหกรรม และขายสินค้าที่ผลิตได้ มีค่ารวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งวันใด เป็นเงินตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป หรือสินค้าที่ผลิตได้ มีค่ารวมทั้งสิ้นเป็นเงินตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป
  5. ขนส่งทางทะเล การขนส่งโดยเรือกลไฟหรือเรือยนต์ประจำทาง การขนส่งโดยรถไฟ การขนส่งโดยรถราง การขนส่งโดยรถยนต์ ประจำทาง การขายทอดตลาด การรับซื้อขาย การรับซื้อที่ดิน การให้กู้ยืมเงิน การรับแลกเปลี่ยนหรือ ซื้อขายเงินตราต่างประเทศ การซื้อหรือขายตั๋วเงิน การธนาคาร การโพยก๊วน การทำโรงรับจำนำ และการทำโรงแรม
  6. ขายให้เช่า ผลิต หรือรับจ้างผลิตแผ่นซีดีแถบบันทึก วีดีทัศน์ แผ่นวีดีทัศน์ ดีวีดี หรือแผ่น วีดีทัศน์ระบบดิจิทัล เฉพาะที่เกี่ยวกับการบันเทิง
  7. ขายอัญมณีหรือเครื่องประดับ ซึ่งประดับด้วยอัญมณี
  8. ซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  9. บริการอินเทอร์เน็ต
  10. ให้เช่าพื้นที่เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
  11. บริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขาย สินค้าหรือบริการโดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  12. การให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้อินเทอร์เน็ต
  13. การให้บริการฟังเพลง และร้องเพลงโดยคาราโอเกะ
  14. การให้บริการเครื่องเล่นเกมส์
  15. การให้บริการตู้เพลง
  16. โรงงานแปรสภาพ แกะสลัก และการ หัตถกรรมจากงาช้าง การค้าปลีก การค้าส่งงาช้าง และ ผลิตภัณฑ์จากงาช้าง

หมายเหตุ : ผู้ประกอบพาณิชยกิจรายการที่ 1-5 ยกเว้นผู้ประกอบพาณิชยกิจที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด

right-arrow

พาณิชยกิจที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ได้แก่

  1. การค้าเร่ การค้าแผงลอย
  2. การบำรุงศาสนาหรือเพื่อการกุศล
  3. นิติบุคคลซึ่งได้มีพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้น
  4. กระทรวง ทบวง กรม
  5. มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์
  6. พาณิชยกิจของกลุ่มเกษตรกรที่ได้ จดทะเบียนตาม ปว.141 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2515
right-arrow

สถานที่จดทะเบียนพาณิชย์

  • ในเขตกรุงเทพมหานคร สำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร และ ฝ่ายปกครอง สํานักงานเขตทุกแห่ง
  • ในภูมิภาคยีนจดที่เทศบาล องค์การบริหาร ส่วนตำบล หรือเมืองพัทยา แล้วแต่กรณี

หมายเหตุ : จดทะเบียนพาณิชย์ในท้องที่ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มประกอบพาณิชยกิจ

    เมื่อจดทะเบียนพาณิชย์แล้ว ให้จัดทำป้ายชื่อที่ใช้ในการประกอบพาณิชยกิจไว้ ที่หน้าสำนักงานและสำนักงานสาขา (ถ้ามี) โดยเปิดเผยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้จดทะเบียน ป้ายชื่อจะต้องเป็นอักษรไทย อ่านได้ง่ายและชัดเจน อาจมีอักษรต่างประเทศด้วยก็ได้ สามารถทำบนแผ่นไม้โลหะ กระจก กำแพง หรือผนัง แต่ต้องใช้ชื่อให้ตรงกับชื่อที่จดทะเบียนไว้และถ้าเป็นสำนักงานสาขาต้องมีคำว่า “สาขา” ไว้ด้วย

    สำหรับใบทะเบียนพาณิชย์ที่ได้รับจะต้องแสดงไว้ที่สถานประกอบการในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ถ้าหากสูญหายต้องยื่นคําขอรับใบแทนใบทะเบียนพาณิชย์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่สูญหาย

    กรณีที่เลิกประกอบกิจการแล้ว ให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเลิกประกอบพาณิชยกิจ อย่าลืมว่าตอนเริ่มธุรกิจได้ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ดังนั้น เมื่อเลิกธุรกิจก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังได้

right-arrow

บทลงโทษ

  1. ประกอบพาณิชยกิจโดยไม่จดทะเบียน แสดงรายการเท็จ ไม่ยอมให้ถ้อยคำ ไม่ยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในสำนักงาน มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
    กรณีไม่จดทะเบียนอันเป็นความผิดต่อเนื่องปรับอีกวันละไม่เกิน 100 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ 
  2. ถ้าใบทะเบียนพาณิชย์สูญหายไม่ยื่นคำร้องขอใบรับแทน หรือไม่แสดงใบทะเบียนพาณิชย์ไว้ที่สำนักงาน ที่เห็นได้ง่าย ไม่จัดทำป้ายชื่อ มีความผิดปรับไม่เกิน 200 บาท และถ้าเป็นความผิดต่อเนื่อง ปรับอีกวันละไม่เกิน 20 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
  3. ผู้ประกอบพาณิชยกิจซึ่งกระทำการฉ้อโกงประชาชน ปนสินค้าโดยเจตนาทุจริต ปลอมสินค้า หรือกระทำการทุจริตอื่นใดอย่างร้ายแรงในการประกอบกิจการจะถูกถอนใบทะเบียนพาณิชย์ เมื่อถูกสั่งถอนใบทะเบียนพาณิชย์แล้ว จะประกอบกิจการต่อไปไม่ได้ เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะสั่งให้รับจดทะเบียนพาณิชย์ใหม่
  4. ผู้ประกอบพาณิชยกิจที่ถูกสั่งถอนใบทะเบียนพาณิชย์แล้ว ยังฝ่าฝืนประกอบพาณิชยกิจต่อไป มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือทั้งปรับทั้งจำ

ที่มา : กรมสรรพากร, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า