ลีสซิ่ง และการเช่าซื้อ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างสับสนกับความแตกกต่างของสัญญาทั้งสองแบบอยู่ไม่น้อย เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร อีกทั้งมักจะมีคำถามจากเจ้าของกิจการว่า ทำสัญญาแบบไหนถึงจะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้มากกว่ากัน วันนี้เราจะมาอธิบายว่าการเช่าซื้อและลีสซิ่งนั้น แตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนมีประโยชน์ทางภาษีมากกว่า
คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินให้เช่า ภายใต้เงื่อนไขว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าจ่ายเงินให้แก่เจ้าของสินทรัพย์ตามจำนวนงวดที่ตกลงกันไว้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าสัญญาเช่าซื้อคือการผ่อนสินค้า โดยมีการแบ่งจ่ายเป็นงวด ซึ่งกรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้เช่าตั้งแต่เริ่มเซ็นสัญญา และเมื่อผู้เช่าซื้อผ่อนจ่ายค่าสินค้าครบถ้วนแล้ว ผู้ขายจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นให้ผู้เช่าซื้อ
ซึ่งสัญญาเช่า มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
สัญญาเช่านั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ โดยใช้ในส่วนของค่าเสื่อมราคา ซึ่งสามารถ ใช้ได้ตั้งแต่เริ่มผ่อนชำระ โดยกิจการจะสามารถบันทึกค่าเสื่อมราคาต่อปีเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าซื้อรวมดอกเบี้ย เมื่อคำนวณออกมาแล้วแล้วจะต้องไม่เกินราคาที่จะต้องผ่อนชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ยกตัวอย่าง เช่น กิจการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง กิจการสามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ ในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท (ค่าเสื่อมสูงสุด 200,000 บาทต่อปี)
คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สิน (Leasor) ตกลงให้ผู้เช่าทรัพย์สินแบบแบบลีสซิ่ง (Leasee) ใช้ประโยชน์จากทรัพย์นั้นได้ โดยมีเงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่ระบุในสัญญา และต้องชำระราคาตามที่กำหนดไว้ โดยเจ้าของทรัพย์สินตกลงจะขายทรัพย์สินที่ให้ลิสซิ่งนั้นให้แก่ผู้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งเมื่อครบกำหนดตามสัญญา หรือเรียกง่าย ๆ ว่า สัญญาเช่า ซึ่งยังไม่ถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการ เมื่อจ่ายค่าเช่าครบตามที่กำหนดในสัญญา กิจการมีสิทธิเลือกได้ว่าจะซื้อสินทรัพย์ เช่าต่อ หรือคืนสินทรัพย์ให้แก่ผู้ให้เช่า
ลีสซิ่งนั้นจะมีลักษณะเป็นการเช่าระยะยาว โดยค่าเช่ารายเดือนจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน แต่จะไม่สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ เนื่องจากการเช่าซื้อแบบลิสซิ่งนั้น กิจการยังไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน
ยกตัวอย่าง เช่น กิจการเช่ารถยนต์ 10 ที่นั่งแบบลิสซิ่ง ในทางบัญชีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 100% แต่ในทางภาษีจะมีเพดานกำหนด โดยค่าเช่าต้องไม่เกิน 36,000 บาทต่อเดือน หรือ 432,000 บาทต่อปี และเนื่องจากลีสซิ่งถือเป็นการเช่า เมื่อจ่ายเงินค่าเช่าจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%
เช่าซื้อและลิซซิ่งนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนั้นกิจการควรพิจารณาว่ากิจการของตนนั้นมีมีลักษณะอย่างไร และ ควรใช้แบบไหนถึงคุ้มค่ามากกว่ากัน ซึ่งทางเราสามารถสรุปเอาไว้สั้น ๆ เพื่อให้ทุกคนได้นำไปตัดสินใจเลือกใช้กับกิจการของตนเอง ดังนี้
พิจารณาจากกิจการ
พิจารณาจากสินทรัพย์
รถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง
อย่าลืม! ยื่นชำ…
คำถาม : มาตรการ…
การตรวจสอบ…
ผู้ที่ม…
Easy E-Receipt …
บริษัท …
This website uses cookies.